
โครงการสำรวจ “Business of the People Poll” จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความคิดเห็น รับรู้ มุมมอง ของนักธุรกิจไทยต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในเขตเศรษฐกิจไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ผ่านสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เนื่องในวาระที่ไทยรับหน้าที่เจ้าภาพการจัดประชุมสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค 2022 (ABAC 2022)
การศึกษาครั้งนี้ได้ทำการศึกษาผ่านผู้ประกอบการไทย จำนวน 451 ตัวอย่าง ใน 5 ภูมิภาคหลักได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ และกรุงเทพและปริมณฑล อันเป็นตัวแทนผู้ประกอบการไทย ที่วางประเด็นมุ่งเน้นไปที่ ‘ปัจจัย ความท้าทาย โอกาส และความเป็นไปได้ในการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต’ ในการทราบถึงความเข้าใจ ข้อเท็จจริง และมุมมองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากผู้ที่มีบทบาทจริงในภาคธุรกิจ ซึ่งผลสรุปจากการสำรวจในครั้งนี้ มีผลลัพธ์และประเด็นที่น่าสนใจ ดังต่อไปนี้
Key Findings:
1. มุมมองด้านสถานการณ์ปัจจุบันของธุรกิจ ผลสำรวจพบว่า สถานะทางธุรกิจในปัจจุบันเทียบกับปีที่ผ่านมาทางด้านยอดขาย ต้นทุน กำไร สภาพคล่อง การจ้างงาน การลงทุน และภาพรวมธุรกิจ ยังคงอยู่ในสถานะทรงตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามเมื่อสอบถามถึงอนาคต 5-10 ปี ข้างหน้าพบว่า ภาคธุรกิจโดยส่วนใหญ่เชื่อว่าสถานะทางธุรกิจน่าจะฟื้นกลับมาดีขึ้น มีโอกาสในการขยายตัวและเติบโตได้
2. ทัศนะต่อการใช้เทคโนโลยีและดิจิทัล ผลสำรวจพบว่า ภาคธุรกิจในปัจจุบันเห็นว่าเทคโนโลยีและดิจิทัลในปัจจุบันมีความสำคัญในระดับมากที่ร้อยละ 68.5% เช่นเดียวกับการใช้เทคโนโลยีและดิจิตอลในปัจจุบันที่อยู่ในระดับมาก และจะมีความสำคัญในอนาคตอย่างมาก ในขณะที่การใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ภาคธุรกิจจะใช้ประโยชน์ด้าน E-Commerce มากที่สุด รองลงมา ได้แก่ การบริหารสินค้า-คลังสินค้า และด้านการผลิต ตามลำดับ
3. ทัศนะต่อนโยบายด้าน BCG และสิ่งแวดล้อม ผลสำรวจพบว่า ภาคธุรกิจในปัจจุบันให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมในระดับมากถึงร้อยละ 65.8% ปานกลาง 29.9% น้อย 3.1% ไม่สำคัญเลย 0.9% แต่ในอนาคตภาคธุรกิจเชื่อว่าสิ่งแวดล้อมน่าจะมีความสำคัญมากขึ้นกว่าในปัจจุบัน ในขณะที่เมื่อสอบถามถึงเรื่อง BCG Model พบว่าภาคธุรกิจที่เข้าใจในระดับน้อยถึงไม่เข้าใจเลยมีมากกว่า 50% โดยภาคที่มีระดับความเข้าใจมากที่สุดคือภาคอุตสาหกรรม โดยเป็นธุรกิจขนาดกลาง ถึงขนาดใหญ่ ในขณะที่ธุรกิจรายย่อยและขนาดย่อม อาจเห็นว่า BCG เป็นเรื่องไกลตัว
4. ทัศนะต่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุน จากผลการสำรวจพบว่า ปัจจุบันภาคธุรกิจส่วนใหญ่มีสัดส่วนของแหล่งเงินทุนในการดำเนินธุรกิจ เป็นแหล่งเงินทุนภายในกว่า 60% และในอนาคตคาดว่าจะใช้แหล่งเงินทุนภายในเกือบ 70% โดยเมื่อพิจารณาขนาดธุรกิจ พบว่าธุรกิจรายย่อย (Small) ธุรกิจขนาดย่อม (Micro) และธุรกิจขนาดกลาง (Medium) ใช้แหล่งเงินทุนของตัวเองมากกว่าแหล่งทุนภายนอก เนื่องจากภาคธุรกิจส่วนใหญ่มีศักยภาพในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนภายนอกน้อย โดยเฉพาะธุรกิจรายย่อยและธุรกิจขนาดย่อม
5. ทัศนะต่อการเปิดเขตการค้าเสรี (FTA) ผลการสำรวจพบว่า การรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเขตการค้าเสรี (Free Trade Area: FTA) ภาคธุรกิจส่วนใหญ่มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับ FTA ยกเว้นผู้ประกอบการรายย่อยที่ใช้สิทธิประโยชน์ในการทำการค้าอยู่ในระดับน้อย ขณะที่การเปิดเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (FTAAP) ได้รับการเห็นด้วยจากเสียงส่วนใหญ่ เนื่องจากคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนในการนำเข้าวัตถุดิบจากสิทธิพิเศษทางด้านภาษี รวมถึงมีช่องทางหรือตลาดใหม่ๆ เกิดขึ้น ไปจนถึงสินค้าจะมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น
6. การพัฒนาธุรกิจให้เกิดความยั่งยืน (Sustainability) จากผลการสำรวจเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ธุรกิจดำเนินการเพื่อให้เกิดความยั่งยืนพบว่า ธุรกิจโดยภาพรวมจะทำการพัฒนานวัตกรรมหรือสิ่งใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามถึงประเด็นสำคัญที่ธุรกิจจะประสบความสำเร็จจากการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน มองว่าจะต้องประกอบด้วย การลดความเหลื่อมล้ำมากที่สุด รองลงมาได้แก่ การเปิดเผยข้อมูลอย่างซื่อตรง โปร่งใส และตรวจสอบได้ และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม เช่น Green Economy ตามลำดับ
7. โอกาสทางธุรกิจ จากผลการสำรวจพบว่า ภาคธุรกิจเห็นว่าธุรกิจไทยในปัจจุบันมีโอกาสมาก และในอนาคตยังมีโอกาสเพิ่มมากกว่าในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเปิดการค้าเสรี (FTA) การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าด้านการผลิต การขาย หรือการบริหารจัดการองค์กร และอื่นๆ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังกล่าวจะเป็นโอกาสมากกว่าอุปสรรค
8. ข้อแนะนำต่อภาคธุรกิจและภาคนโยบาย
เพื่อบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจ
มุ่งพัฒนาระบบให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพรองรับต่อการทำงานในยุคปัจจุบัน
ควรรักษามาตรฐานและคุณภาพทั้งในด้านสินค้าและบริการอยู่เสมอ
ธุรกิจต้องพร้อมปรับตัวตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปให้ได้มากที่สุด
ภาครัฐและภาคเอกชน ควรร่วมมือและส่งเสริมการเชื่อมโยงระหว่างภาคธุรกิจทุกขนาดเข้าด้วยกัน
เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
ภาคธุรกิจควรมีแนวคิดในการทำธุรกิจร่วมกันและแลกเปลี่ยนทรัพยากร เช่น วัตถุดิบ เครือข่าย องค์ความรู้ ระหว่างธุรกิจ และพยายามรักษา Supply Chain ระหว่างคู่ค้าเอาไว้ เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน
ภาครัฐควรส่งเสริมหรือกำหนดนโยบายให้กับ MSMEs ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ง่ายขึ้น เพื่อลดการผูกขาด ใน ตลาดจากรายใหญ่
ภาครัฐและภาคเอกชนควรเชื่อมโยงกันเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม เช่น Green Economy รวมทั้งการเข้าถึงชุมชนให้มากขึ้น เพื่อควบคุมต้นทุนราคาสินค้า และวัตถุดิบให้เป็นไปตามกลไกตลาด
เพื่อความก้าวหน้าผ่านการสนับสนุนจากภาครัฐ
ภาคเอกชน ยังต้องการการสนับสนุนด้านงบประมาณ เงินช่วยเหลือในการฟื้นฟูกิจการ และช่วยควบคุมราคาปัจจัยการผลิต
การถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่ MSMEs โดยผู้เชี่ยวชาญ หรือถ่ายทอดเทคโนโลยี นวัตกรรม ใหม่ๆ รวมถึง ให้คำแนะนาในการดำเนินธุรกิจ
ลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงสร้างเสถียรภาพทางการเมือง
มีการกำหนดนโยบาย รวมถึงกฎหมาย ให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งควรเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงผู้ประกอบการที่อยู่บน Supply Chain เดียวกัน เพื่อเอื้อประโยชน์ระหว่างกัน
**********
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
คุณญาณินี กสิธรานนท์ (ฝน) ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ เฟลชแมน ฮิลลาร์ด ประเทศไทย โทร. 085 953 3330
อีเมล: yaninee.kasitaranon@fleishman.com